เผยแพร่: ปรับปรุง: โดย: ผู้จัดการออนไลน์
ศรีสะเกษ- เผาศพ “ผอ.อ้อย”เหยื่อฆาตกรรมโหดของผู้กองเหน่งแล้ว หลังจากพ่อแม่พอใจผลการตัดสิน
3 ศาลยืนให้ประหารชีวิตผู้กองเหน่งสถานเดียว แม่เปิดใจจนถึงขณะนี้ยังไม่ยอมอโหสิกรรมให้กับผู้กองเหน่ง ขอให้รับกรรมที่ก่อเอาไว้
เมื่อเวลา 15.50 น. วันนี้( 15 มี.ค.) ที่วัดศรีซำเม็ง บ้านซำเม็ง ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นางอุดมลักษณ์ เพ็งนรพัฒน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษ เขต 4 พรรคภูมิใจไทย ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีฌาปนกิจศพ น.ส.จุฑาภรณ์ อุ่นอ่อน หรือ ผอ.อ้อย อดีต ผอ.กองการศึกษา อบต.ชำ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งถูก ร.อ.ศุภชัย ภาโส หรือ ผู้กองเหน่ง นายทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ฆ่าอย่างโหดเหี้ยม แล้วนำศพไปทิ้งใกล้ฐานทหารแห่งหนึ่ง ชายแดนประเทศไทย – ลาว ด้าน จ.อุบลราชธานี
โดยนายบุญเลิศ อุ่นอ่อน อายุ 67 ปี และนางแหลม อุ่นอ่อน อายุ 66 ปี ซึ่งเป็นพ่อและแม่ของ ผอ.อ้อย ร่วมกับญาติพี่น้องได้จัดพิธีศพอย่างเรียบง่าย มีญาติพี่น้องมาร่วมพิธีหนาตา ท่ามกลางบรรยากาศที่เศร้าโศก ซึ่งนายประสิทธิศักดิ์ ฝอยทอง ทนายความชื่อดังที่เป็นทนายว่าความให้กับนายบุญเลิศ พ่อของ ผอ.อ้อย ได้มาร่วมในพิธีนี้ด้วย โดยหลังจากพระสงฆ์ประกอบพิธีทางศาสนาและวางดอกไม้จันทน์หน้าโลงศพ ผอ.อ้อยแล้ว บรรดาญาติพี่น้องและชาวบ้านซำเม็ง ได้พากันขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์ เพื่อเป็นการประชุมเพลิง ผอ.อ้อย หลังจากที่ได้บรรจุศพ ผอ.อ้อยเอาไว้ที่วัดแห่งนี้เป็นเวลาประมาณ 6 ปีเศษแล้ว
นางแหลม อุ่นอ่อน อายุ 66 ปี แม่ของ ผอ.อ้อย กล่าวว่า การที่ตนและญาติพี่น้อง ได้นำศพของ ผอ.อ้อย ออกจากซองบรรจุศพมาประกอบพิธีฌาปนกิจศพในวันนี้ เนื่องจากว่าตนและครอบครัวมีความพอใจที่ศาลยุติธรรมทั้ง 3 ศาล ได้พิพากษายืนให้ประหารชีวิตผู้กองเหน่งให้ตายตามลูกสาวของตน ซึ่งจนถึงบัดนี้แม้ว่าศาลฎีกาจะพิพากษาประหารชีวิตผู้กองเหน่งแล้ว ตนก็ยังไม่ยอมอโหสิกรรมให้กับผู้กองเหน่ง เนื่องจากว่าเป็นชายชาติทหาร แต่ว่าจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าลูกสาวของตนอย่างโหดร้ายทารุณมาก ดังนั้น ตนจึงให้ผู้กองเหน่งรับโทษทัณฑ์ รับกรรมที่ก่อเอาไว้ตลอดไป
ขณะที่นายประสิทธิศักดิ์ ฝอยทอง ทนายความที่ว่าความคดี ผอ.อ้อย จนกระทั่งผู้กองเหน่งถูกประหารชีวิต กล่าวว่า คดีนี้จากพยานหลักฐานทั้งหมดที่ปรากฎ ทำให้ศาลเชื่อว่าผู้กองเหน่งคือฆาตกรโหดที่ฆ่า ผอ.อ้อยอย่างโหดเหี้ยม ทำให้ทั้ง 3 ศาลยืนโทษประหารผู้กองเหน่ง แต่ว่าก็เป็นสิทธิ์ของผู้กองเหน่งที่จะถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษตามกระบวนการยุติธรรมที่กำหนดไว้ แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ตนได้ทำหน้าที่เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับ ผอ.อ้อย จนคดีถึงที่สุดแล้ว และจำเลยคดีนี้ต้องโทษประหารชีวิต โดยขณะนี้ ผู้กองเหน่ง จำเลยคดีนี้ยังคงถูกจำคุกอยู่ที่แดนประหาร เรือนจำบางขวาง กรุงเทพ เพื่อรอผลการถวายฏีกาต่อไป หากผลการถวายฏีกาออกมาเป็นเช่นไรก็ถือว่าเป็นอันสิ้นสุดคดีนี้
สำหรับคดีสะเทือนขวัญดังกล่าว ย้อนรอยไปเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 8 ส.ค. 2560 นายบุญเลิศ อุ่นอ่อน อายุ 62 ปี อยู่บ้านเลขที่ 65 บ้านซำเม็ง ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พร้อมด้วยนายบัวกัน อายุ 48 ปี ผู้ใหญ่บ้าน ม.16 บ้านโนนเจริญ ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ น้องชายและญาติพี่น้องอีก 2 คน ได้เดินทางมาเข้าร้องทุกข์กับผู้สื่อข่าวประจำ จ.ศรีสะเกษว่า น.ส.จุฑาภรณ์ อุ่นอ่อน หรือ “ผอ.อ้อย” อายุ 37 ปี รับราชการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการ (ผอ.) กองการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ชำ อ.กันทรลักษ์ ลูกสาวของนายบุญเลิศ และเป็นหลานสาวของนายบัวกัน ได้หายตัวไปพร้อมด้วยรถยนต์เก๋งโตโยต้า รุ่นวีออส สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน กษ 8201 เชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2560 ปล่อยให้ น้องใบเฟิร์น ลูกสาววัย 8 ขวบ อยู่กับพ่อและตายายมานานกว่า 1 เดือนแล้ว
นายบุญเลิศ พ่อของ ผอ.อ้อย ได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.บึงมะลู เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2560 เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยติดตามลูกสาวให้ ทั้งนี้ มีเบาะแสว่าก่อนหน้านี้มีนายทหารคนหนึ่งปฏิบัติหน้าที่ใกล้เขาพระวิหาร ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับ ผอ.อ้อย มีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ นายทหารคนนี้มีภรรยาอยู่แล้ว ต่อมาวันที่ 9 ส.ค. 2560 นายวิทยา เกษแก้ว อายุ 37 ปี สามี ผอ.อ้อย ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.กันทรลักษ์ อีกครั้งว่าภรรยาหายตัวไป จากนั้น พล.ต.ต.สุรเดช เด่นธรรม ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) ศรีสะเกษ ได้สั่งแต่งตั้งชุดเฉพาะกิจขึ้นมาคลี่คลายคดีอย่างเร่งด่วน โดยชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ได้ร่วมกับชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 3 ชุดสืบสวน สภ.กันทรลักษ์ เจ้าหน้าที่ทหาร และ ตำรวจกองปราบปราม ออกสืบสวนหาเบาะแสร่องรอยของคดี
ชุดสืบสวนคดีนี้ได้ทำงานอย่างหนักและรวบรวมพยานหลักฐานสามารถออกหมายเรียกผู้ต้องหามาดำเนินคดีได้ คือ ร.อ.ศุภชัย ภาโส หรือ “ผู้กองเหน่ง” นายทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี กับพวก รวม 4 คน เริ่มจากแจ้งข้อหาความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสาร และใช้เอกสารปลอม พ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ขณะที่ นายบุญเลิศ กับนายวิทยา สามีของ ผอ.อ้อย และญาติพี่น้อง ได้พากันออกตระเวนตามหาร่างของ ผอ.อ้อย ไปตามป่าเขาและตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และชายแดนไทย-ลาว ทุกแห่งที่สงสัยว่าจะเป็นที่ซุกซ่อนร่างของ ผอ.อ้อย
จนกระทั่งช่วงบ่ายของวันที่ 23 ต.ค.2560 หลังจากการค้นหาร่างของ ผอ.อ้อย ผ่านไปนานกว่า 3 เดือน จึงประสบผลสำเร็จ เมื่อ นายบุญเลิศ อุ่นอ่อนและครอบครัว ได้พากันมาเดินตามหาร่าง ผอ.อ้อย ที่บริเวณถนนทางไป เนิน 500 ห่างจากฐานอนุพงศ์ บ้านโนนสูง ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานีประมาณ 400 เมตร สืบเนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมา นางแหลม อุ่นอ่อน แม่ของ ผอ.อ้อย ฝันว่า ผอ.อ้อย มาบอกว่าศพอยู่ข้างทางใกล้กับทางไปฐานทหารที่ อ.น้ำยืน ดังนั้นจึงได้พากันมาตามหา
โดยขณะที่นายบัวกัน เดินตามหา ผอ.อ้อย อยู่ในป่าห่างจากถนนทางไปเนิน 500 ประมาณ 50 เมตร ได้พบหัวกะโหลกมนุษย์วางอยู่บนพื้น ห่างออกไปประมาณ 5 เมตร พบเส้นผมยาวของผู้หญิงกองม้วนอยู่ และใกล้กันพบเข็มขัดผ้าและหัวเข็มขัดของข้าราชการที่เป็นแบบผ้าของผู้หญิงตกอยู่กับพื้น ใกล้กันยังพบนาฬิกาข้อมือแบบผู้หญิงวางอยู่ โดยนาฬิกายังคงเดินอยู่ รวมทั้งกระดูกส่วนต่างๆ ของมนุษย์
นายบัวกันจึงได้รีบเรียกให้นายบุญเลิศและนางแหลมเข้ามาดู จากนั้นได้โทรศัพท์แจ้งให้นายวิทยา เกษแก้ว สามีของ ผอ.อ้อย และญาติพี่น้องมาตรวจดูที่เกิดเหตุ รวมทั้งแจ้งให้ พ.ต.อ.ประเสริฐศักดิ์ ศรีไชย ผกก.กลุ่มงานสอบสวน ภ.จว.ศรีสะเกษ พนักงานสอบสวนคดีนี้ และแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอพบว่าเป็นกระดูกของ ผอ.อ้อย จริง วันที่ 8 ต.ค. 2560 พนักงานสอบสวนจึงได้แจ้งดำเนินคดีเพิ่ม 3 ข้อหาหนักกับผู้กองเหน่ง คือ ฆ่าคนตายโดยเจตนา ซ่อนเร้นอำพรางศพ และกักขังหน่วงเหนี่ยวทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ก่อนรวบรวมพยานหลักฐานสรุปสำนวนคดีส่งอัยการพิจารณาสั่งฟ้อง และ วันที่ 5 ม.ค. 2561 พนักงานอัยการจังหวัดกันทรลักษ์ ได้ส่งสำนวนคดีฟ้อง ร.อ.ศุภชัย กับพวก ต่อศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ซึ่งสำนวนคดีมีจำนวน 4 แฟ้ม ประมาณ 3,000 หน้า
หลังจากศาลจังหวัดกันทรลักษ์ได้มีการสืบพยานทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นแล้ว ได้นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 14 มี.ค. 2562 เวลา 09.00 น. ที่ ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ได้พิพากษาให้ประหารชีวิต ร.อ.ศุภชัย หรือผู้กองเหน่ง สถานเดียว และสั่งจ่ายค่าเสียหาย 2,760,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เนื่องจากมีพยานหลักฐานแน่นหนาว่าเป็นผู้สังหารผู้ตายแล้วนำศพไปทิ้งในป่าชายแดน ที่ จ. อุบลราชธานี จริง ส่วนจำเลยที่ 2-4 ให้ยกฟ้อง จำเลยอุทธรณ์และฎีกา แต่ว่าผลการพิพากษายังคงยืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น คือพิพากษาให้ประหารชีวิตผู้กองเหน่งสถานเดียว ทำให้พ่อและแม่ของ ผอ.อ้อย มีความพอใจและได้นำเอาศพของ ผอ.อ้อยมาประกอบพิธีประชุมเพลิงในวันนี้