วันจันทร์ ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.
อุตุฯเตือนพายุ“โกนเซิน”ส่งผลกระทบภาคอีสาน-ตะวันออกเกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ส่วนกรมชลฯ ชี้เหตุจำเป็นปล่อยน้ำเขื่อนเจ้าพระยา เตือนพื้นที่ลุ่มท้ายเขื่อนในกรุงเก่า เฝ้าระวังปริมาณน้ำเพิ่มสูง ด้านพิจิตร ฝนตกหนักท่วมแล้ว 5 อำเภอ ขณะที่เลย น้ำป่าหลากท่วม อ.นาแห้ว
เมื่อวันที่ 12กันยายน กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเรื่อง พายุดีเปรสชั่น‘โกนเซิน’ ฉบับที่12 มีใจความว่า พายุดีเปรสชั่นโกนเซิน บริเวณเมืองกวางงาย ประเทศเวียดนาม มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง ประมาณ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อยอย่างช้าๆ คาดว่าจะอ่อนกำลังเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงระยะต่อไป ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณ จ.นครพนม สกลนคร มุกดาหาร กาฬสินธุ์ อำนาจเจริญ ยโสธร ร้อยเอ็ด มหาสารคาม นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ระยอง จันทบุรี และตราด ขอให้ประชาชนเฝ้าระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้
อนึ่ง มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2-3 เมตร และอ่าวไทยตอนบนคลื่นสูง2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่ง จนถึงวันที่ 14 กันยายนนี้
ขณะเดียวกัน กรมชลประทาน ออกหนังสือแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา ฉบับที่ 2 เนื่องจากปัจจุบันปริมาณน้ำไหลผ่านที่ จ.นครสวรรค์ มากถึง 903 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)/วินาที อีกทั้งมวลน้ำไหลมาสมทบกับแม่น้ำสะแกกรังที่ จ.อุทัยธานี และปริมาณน้ำฝนที่ตกเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ทำให้คาดการณ์ว่าอาจมีแนวโน้มน้ำจะไหลมาที่หน้าเขื่อนเจ้าพระยา อยู่ในเกณฑ์ถึง 1,300-1,400 ลบ.ม./วินาทีเขื่อนเจ้าพระยา จึงจำเป็นต้องเพิ่มการระบายน้ำลงท้ายเขื่อน ที่ประมาณ 800-1,200 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบัน โดย จ.พระนครศรีอยุธยา ถือเป็นพื้นลุ่มต่ำที่จะได้รับผลกระทบก่อน เช่น อ.บางบาล ติดแม่น้ำเจ้าพระยา อ.เสนา และ อ.ผักไห่ ที่ติดแม่น้ำน้อย โดยน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 1.5 เมตร จากระดับในปัจจุบัน ตั้งแต่ช่วงวันที่ 13-16 กันยายนนี้
ทั้งนี้ กรมชลประทานยืนยันว่าจะควบคุมปริมาณการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ให้อยู่ในเกณฑ์ดังกล่าว ด้วยการบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มศักยภาพของพื้นที่ โดยจะไม่ให้มีผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตร หากมีปริมาณน้ำเหนือหลากเพิ่ม กรมชลประทานจะแจ้งให้ทราบในทันที
ส่วนที่ จ.พิจิตร ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวัน ทำให้น้ำท่วมใน 5 อำเภอ ได้แก่ อ.วังทรายพูน อ.วชิรบารมี อ.สามง่าม อ.ทับคล้อ และ อ.สากเหล็ก รวม 4 ตำบล 13 หมู่บ้าน 2 ชุมชน โดยสถานที่ราชการ โรงเรียน บ้านเรือนและพื้นที่ทำการเกษตร ได้รับความเสียหายบางส่วน แต่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต โดยเฉพาะหมู่ 1 ต.ห้วยพุก อ.ดงเจริญ พบพนังกั้นน้ำคลองบอระเพ็ด พังเสียหาย จนน้ำทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎร โรงเรียนห้วยพุก วัดห้วยพุก ทาง อบต.ห้วยพุก ต้องนำแมคโครและเครื่องมือเร่งซ่อมแซมพนังกั้นน้ำดังกล่าว
ขณะที่ อ.ทับคล้อ น้ำป่าที่ไหลจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ มายังคลองวังแดง ได้ทะลักเข้าท่วมพื้นที่เทศบาล ต.ทับคล้อ อ.ทับคล้อ มีสถานที่สำคัญหลายแห่งได้รับผลกระทบ เช่น วัดมงคลทับคล้อ น้ำท่วมทั้งศาสนสถานและลานวัด พระสงฆ์ สามเณร ต้องช่วยกันสูบน้ำ กั้นแนวกระสอบทรายเพื่อป้องกันน้ำท่วม
นอกจากนี้น้ำป่ายังไหลบ่าท่วมเขตชุมชนตลาดใต้ มวลน้ำได้เอ่อล้นเข้าไปในบ้านเรือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนดังกล่าวกว่า 50 หลังคาเรือน โดยประชาชนบางส่วนได้เก็บข้าวของขึ้นที่สูงรองรับน้ำที่อาจจะมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นแล้ว สำหรับศาลเจ้าพ่อทับคล้อ จุดศูนย์รวมใจชาวไทยเชื้อสายจีนในพื้นที่ ก็ได้รับผลกระทบ น้ำเอ่อล้นเข้าท่วมจนเสียหายด้วย
ที่ จ.ปราจีนบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำท่วมว่าที่ชุมชนตลาดเก่า เทศบาล ต.กบินทร์ อ.กบินทร์บุรี มีระดับน้ำท่วมสูงกว่า1 เมตรทำให้ประชาชนต้องใช้เรือในการสัญจรเข้าออก ส่วนบ้านใดที่ไม่มีเรือ ก็ต้องใช้บริการเรือท้องแบนของทหารสังกัด ร.2 พัน 3 รอ.ค่ายพรหมโยธีซึ่งจัดเรือพร้อมกำลังพลมาคอยดูแลอำนวยความสะดวก คอยรับส่งประชาชนที่จำเป็นต้องเดินทางเข้าออกชุมชนดังกล่าว
อย่างไรก็ดี จากปริมาณน้ำมีท่วมสูงขึ้นต่อเนื่อง มวลน้ำได้เอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรในบริเวณสองฝั่งแม่น้ำปราจีนบุรี โดยเฉพาะหมู่ 3 บ้านปากแพรก และหมู่ 12 บ้านริมน้ำ ต.กบินทร์ ทำให้ต้องขอกำลังทหาร เข้าช่วยขนย้ายทรัพย์สินขึ้นที่สูง นอกจากนี้ยังส่งผลให้โรงเรียนเทศบาล 2 วัดใหม่ท่าพาณิชย์ มีน้ำท่วมสนามหญ้าและอาคารเด็กเล็กแล้วบางส่วน
อีกด้านหนึ่ง ที่ จ.เลย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดพายุฝนตกหนักใน อ.นาแห้ว อ.ด่านซ้าย จนเกิดน้ำท่วมฉับพลันที่บ้านซำทอง ต.นามาลา อ.นาแห้ว มีบ้านเรือนราษฎร ได้รับผลกระทบทันทีเป็นจำนวนมาก และหลังจากฝนหยุดตก ได้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าหมู่บ้าน จนชาวบ้านไม่สามารถขนของขึ้นที่สูงได้ทัน ขณะนี้ทาง อ.นาแห้ว ได้ระดมกำลังกันออกเร่งสำรวจความเสียหายเพื่อช่วยเหลือแล้ว
วันเดียวกัน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้กำชับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สนับสนุนการทำงานของ สทนช.โดยกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ร่วมเฝ้าระวังและเตรียมแผนรองรับพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยกว่า 1,500ตำบล ใน 58จังหวัด ตามการประเมินผลกระทบจากสถานการณ์น้ำและฤดูฝนที่มีปริมาณฝนตกเพิ่มมากขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก ที่มีโอกาสพัฒนาเป็นลานีญา ซึ่งคาดการณ์ว่าในเดือนกันยายน-ตุลาคมนี้ จะมีพายุ 2-3 ลูก เคลื่อนเข้าไทย ส่งผลให้ฝนตกหนักต่อเนื่อง อาจเกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ
พร้อมกันนี้ ขอให้เร่งเข้าช่วยเหลือประชาชนในหลายจังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงจากพายุโกนเซิน ซึ่งเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องและน้ำท่วมฉับพลันหลายพื้นที่ โดยเฉพาะ จ.พิจิตร โดย พล.อ.ประวิตร ย้ำให้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ให้ความสำคัญบริหารจัดการน้ำตามแผนในพื้นที่สำคัญ ทั้งแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง เขื่อนระบายน้ำและแม่น้ำสายหลัก โดยเฉพาะการบริหารน้ำหลากที่ไม่สามารถควบคุม ผ่านระบบชลประทานและการกักเก็บในพื้นที่การเกษตร เพื่อควบคุมปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลัก พร้อมทั้งให้เร่งเก็บกักน้ำต้นทุนที่รองรับได้อีกร้อยละ37สำหรับฤดูแล้งที่จะมาถึง
พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นทุกเหล่าทัพ ยังคงจัดกำลังพล ยานพาหนะ รวมทั้งเรือผลักดันน้ำและเครื่องมือช่าง เข้าสนับสนุนการทำงานของจังหวัดที่ประสบอุทกภัยในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ , อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ และ อ.เมือง จ.ตาก เพื่อช่วยกันเร่งระบายน้ำ บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจนกว่าสถานการณ์จะปกติ และกำลังอยู่ระหว่างเร่งสนับสนุน 5อำเภอ ใน จ.พิจิตร ที่ฝนตกหนักสะสม น้ำป่าไหลหลากเกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่