วันพุธ ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2565, 19.45 น.
Tag :
13 กรกฎาคม 2565 จากกรณีรถกึ่งพ่วงตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 22 ล้อ คนขับหลับในเสียหลักชนท้ายรถจักรยานยนต์ หนุ่มนักศึกษาที่ขับซ้อนท้ายกันมา เป็นเหตุให้คนขับ จยย. คือ นายธนาวุฒิ ยะสา หรือน้องเอ อายุ 20 ปี ชาวบ้านกุดสะกอย หมู่ 7 ต.โนนตาล อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยนครพนม เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนคนซ้อนทชื่อนายยศพล ฮ่มซ้าย หรือน้องบีม อายุ 20 ปี เป็นชาว จ.อุบลราชธานี นักศึกษาชั้นปี 2 มหาวิทยาลัยนครพนม ได้รับบาดเจ็บสาหัสขาหัก 2 ข้าง ถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลนครพนม
ส่วนคนขับรถบรรทุกคือ นายกิตติศักดิ์ วงศ์ภูเขียว อายุ 33 ปี ชาว อ.ภูผาม่าน จ.ขอนแก่น ได้รับบาดเจ็บที่สะโพกและหน้าอก อยู่ระหว่างการรักษาตัวที่โรงพยาบาลนครพนม เหตุเกิดเมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 11 กรกฎาคม 2565 ใกล้จุดยูเทิร์นอันตราย ประมาณหลัก กม.ที่ 13 บริเวณสามแยกบ้านหนองเซา-บ้านเหล่าภูมี ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 212 (ชยางกูร) ตอนท่าควาย-กลางน้อย เขตพื้นที่บ้านหนองเซา ต.ท่าค้อ อ.เมือง จ.นครพนห่างจากตัวเมือง ถนนทางหลวงแ หมายเลข 212 ตอนท่าควาย – กลางน้อย เขตพื้นที่ บ้านหนองเซา ต.ท่าค้อ อ.เมือง จ.นครพนม โดยหลังเกิดเหตุทางบริษัทเจ้าของรถบรรทุก ได้ติดต่อญาติผู้เสียชีวิต รวมถึง ผู้ได้รับบาดเจ็บ พร้อมที่จะดูแลชดเชยเยียวยา ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว
ล่าสุดนางสาวหนูผิ่น แสงสีดา อายุ 51 ปี ชาว ต.พังเคน อ.นาตาล จ.อุบลราชธานี แม่ของน้องบีมผู้รอดชีวิต แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสขาหัก 2 ข้าง ได้ออกมาร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมไปยังหน่วยงานรับผิดชอบ และ รพ.ต้นทางที่ดำเนินการรักษาหลังเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากน้องบีมลูกชายอาการยังวิกฤต ต้องถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร ซ้ำร้ายต้องถูกตัดขาซ้ายเหนือหัวเข่า เพราะติดเชื้อ อีกทั้งยังมีเลือดคั่งในสมองยังไม่รู้สึกตัว โดยต้องการเรียกร้องผ่านสื่อครั้งนี้ เพื่อให้ รพ.ต้นทาง ออกมาชี้แจงแสดงความรับผิดชอบ เนื่องจากยื้อการรักษาไว้นานกว่า 10 ชั่วโมง ก่อนที่จะส่งมารักษาต่อที่โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร
นางสาวหนูผิ่น แสงสีดา เล่าว่ามีลูกชายสองคน ส่วนน้องบีมผู้บาดเจ็บเป็นลูกชายคนสุดท้องจากลูกทั้งหมด 3 คน ตนเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวดูแลลูกทั้งสามลำพัง เนื่องจากหย่าร้างกับสามีตั้งแต่น้องบีมอายุได้ 1 ขวบ จวบจนกระทั่งมาเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยนครพนม ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นลักษณะนี้ ปกติลูกชายเป็นคนตั้งใจเรียนไม่เกเร ทุกวันจะโทรศัพท์คุยกับแม่ทุกวัน และเป็นเพื่อนรักกับคนที่เสียชีวิต มาถึงวันนี้ตนรู้สึกแย่มากกับการดูแลรักษาของโรงพยาบาลต้นทาง
หลังทราบข่าวรีบเดินทางมาจาก จ.อุบลราชธานี พบลูกชายเข้ารับการรักษาตั้งแต่เวลา ประมาณ 8 โมงเช้าของวันที่ 11 กรกฎาคม 2565 เห็นสภาพลูกชายอยู่ในอาการทรมานดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่มีการรักษาที่ควรจะเป็น นอกจากฉีดยาระงับอาการปวดเบื้องต้น
สอบถามหมอบอกว่าดูอาการ จนสุดท้ายเวลาผ่านไปกว่า 10 ชั่วโมง ประมาณหนึ่งทุ่มทางโรงพยาบาล ระบุว่าไม่มีแพทย์เชี่ยวชาญ ต้องส่งตัวมารักษาต่อที่โรงพพยาบาลศูนย์สกลนคร ซ้ำร้ายมาถึงโรงพยาบาลศูนย์สกลนคร แพทย์แจ้งญาติว่าแผลติดเชื้อต้องตัดขาซ้าย อีกทั้งผลการตรวจพบเลือดคั่งในสมอง ถึงตอนนี้ลูกชายไม่รู้สึกตัว ยังอยู่ในอาการขั้นวิกฤต ตนจึงอยากเรียกร้องขอความเป็นธรรม อยากให้โรงพยาบาลต้นทางออกมาแสดงความรับผิดชอบ รวมถึงหน่วยงานเกี่ยวข้องมาดูแลช่วยเหลือ ถึงแม้ทางบริษัทเจ้าของรถบรรทุก จะแสดงความรับผิดชอบ แต่ในการรักษาตนยังติดใจ เพราะลูกชายต้องพิการตลอดชีวิต และยังไม่รู้ว่าจะดีขึ้นแค่ไหน ตนเชื่อว่าหากมีการดูแลรักษาที่รวดเร็วกว่านี้ลูกชายจะไม่อยู่ในสภาพนี้ เพราะหลังเกิดเหตุยังได้พูดคุยกับลูกชายตลอดเวลา