“กรมควบคุมโรค”เชิญชวนประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เสี่ยงมา “รับวัคซีน” โควิด 19เพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคและลดการป่วยตาย
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดี “กรมควบคุมโรค” กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้มีการจัดหาวัคซีนป้องกันโรค “โควิด 19″ ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และได้ผ่านการขึ้นทะเบียน เพื่อใช้ในภาวะฉุกเฉินช่วงที่มีการระบาดของโรค แต่ในระยะแรกที่มี “วัคซีน” จำกัด จึงได้จัดสรรวัคซีนให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เสี่ยงมารับวัคซีนที่โรงพยาบาลที่มีความพร้อมในการให้บริการวัคซีน โดยมีการคัดกรองก่อนการรับวัคซีน และระบบติดตามภายหลังได้รับวัคซีน
จากสถานการณ์ลักษณะทางระบาดวิทยาของกลุ่มผู้เสียชีวิตจากโรค “โควิด 19″ ระลอกใหม่ ในช่วง 14 สัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 15 ธ.ค. 63 – 18 มี.ค. 64) พบผู้เสียชีวิต 29 ราย เป็นเพศชาย 22 ราย และเพศหญิง 7 ราย ในช่วงอายุ 31-92 ปี เฉลี่ยอายุ 64 ปี โดยพบผู้เสียชีวิตในจังหวัดสมุทรสาคร กรุงเทพฯ ตาก ปทุมธานี ระยอง ชลบุรี จันทบุรี พิจิตรสมุทรสงคราม นนทบุรี อุบลราชธานี และมหาสารคาม
จังหวัดส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เสี่ยงในการฉีดวัคซีนป้องกัน “โควิด 19″ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 86.21 จากข้อมูลการศึกษาทางระบาดวิทยาดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในระลอกใหม่นี้ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีโรคประจำตัว และเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งนับว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่หากเจ็บป่วยแล้วอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตจากโรค “โควิด 19″ ได้
การฉีด “วัคซีน”โควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์–18 มีนาคม 2564 จำนวน 62,941 ราย และยังไม่พบผู้ที่มีอาการไม่พึงประสงค์รุนแรงหลังจากได้รับวัคซีนแต่อย่างใด ส่วนอาการไม่พึงประสงค์ไม่รุนแรง 3 อันดับแรก ได้แก่ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ และคลื่นไส้ ตามลำดับ ซึ่งอาการเพียงเล็กน้อยเหล่านี้จะสามารถหายได้เองภายใน 1-2 วัน
การ “รับวัคซีน” ในช่วงระยะแรก ในช่วงเดือนมีนาคม–พฤษภาคม 2564 จะฉีดให้กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เสี่ยงก่อน เพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคและลดการป่วยตาย ได้แก่ “บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข” ด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย เช่น ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ อสม. เป็นต้น และประชาชนที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หลอดเลือดหัวใจ มะเร็งที่อยู่ระหว่างการรักษา เป็นต้น
สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่จะมารับวัคซีนจะให้ฉีดของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า เนื่องจากมีผลการทดลองวิจัยในกลุ่มประชากร 18 ปีขึ้นไป โดยไม่ได้จำกัดเพดานกลุ่มอายุ และมีผู้ที่เป็นผู้สูงอายุจำนวนพอสมควรในการทดลอง จึงได้รับอนุญาตให้ในกลุ่มผู้สูงอายุได้
นพ.โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าวัคซีนป้องกันโรค“โควิด 19″ จะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยเสริม การป้องกันโรคแต่ประชาชนยังต้องปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดในการป้องกันโรคโควิด 19 โดยใช้มาตรการเว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า 100% และสแกน “ไทยชนะ” เมื่อเข้าไปในสถานที่สาธารณะ รวมถึงโหลดแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” เพื่อใช้ในการติดตามไทม์ไลน์และผู้สัมผัสเสี่ยง
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนมั่นใจในการดำเนินการเฝ้าระวังและติดตามอาการหลังรับวัคซีนป้องกันโควิด 19 ซึ่งเจ้าหน้าที่จะสังเกตและถามอาการหลังฉีดทันที, เฝ้าระวังและสังเกตอาการในสถานที่รับวัคซีน 30 นาที จากนั้นจะมีการติดตามอาการอีกในวันที่ 1, 7 และ 30 ผ่านทางไลน์ “หมอพร้อม” หรือมีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล, รพ.สต. หรือ อสม. เป็นผู้ติดตามอาการ อย่างไรก็ตามผู้ที่รับวัคซีนควรสังเกตอาการต่อไปจนครบ 30 วันตามโปรแกรมที่กระทรวงสาธารณสุขวางไว้เพื่อความปลอดภัย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422