กสศ. ลงนามความร่วมมือกับ 7 สถาบันอุดมศึกษา เดินหน้าโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่นที่ 3 สร้างต้นแบบสถาบันผลิตครูคุณภาพรุ่นใหม่หัวใจรัก(ษ์)ถิ่น
เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พร้อมสถาบันอุดมศึกษา 7 สถาบัน ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต และ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ร่วมลงนามความร่วมมือเป็นสถาบันผลิตและพัฒนาครูในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ปีการศึกษา 2565 และร่วมรับฟังการชี้แจงถึงกระบวนทัศน์การผลิตครูเพื่อพัฒนาชุมชน และแนวทางการทำงานเพื่อเป็นสถาบันผลิตและพัฒนาครู ผ่านระบบออนไลน์
รศ.ดร.ดารณี อุทัยรัตนกิจ ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น กล่าวว่า กสศ. มุ่งมั่นให้โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษาที่นำไปสู่การพัฒนาครูของประเทศไทยอย่างชัดเจน เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการผลิตครูจากศูนย์กลางไปสู่การผลิตครูที่สอดคล้องกับพื้นที่ เน้นไปที่ผู้เรียนกำกับตัวเอง (Self-Directed Learning) ครูต้องเปลี่ยนบทบาทการเป็นครูผู้สอน ไปสู่การเน้นเป็น “ครูโค้ช” อำนวยความสะดวก จัดสภาพแวดล้อมให้เด็กได้ศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทชุมชน ฐานทรัพยากร วัฒนธรรม นอกจากนี้ ครูยังมีบทบาทมากกว่าผู้สอนแต่ต้องเป็นนักพัฒนาและนำการเปลี่ยนแปลงสู่ชุมชน ครูจึงต้องได้รับการบ่มเพาะสมรรถนะที่หลากหลาย เป็นครูคุณภาพทำงานที่ร่วมกับชุมชนได้
“สิ่งที่สำคัญคือครูต้องเป็นผู้รู้เท่าการเปลี่ยนการแปลง ต้องปรับตัวได้เร็ว ซึ่งเข้าใจว่าทั้ง 7 สถาบัน กำลังออกแบบแผนการผลิตครูแบบใหม่ เพราะปัจจุบันเรามีการสูญเสียการเรียนรู้เยอะจากการสอนออนไลน์ เนื่องจากที่ผ่านมาเราไม่ได้เตรียมตัวออกแบบการเรียนรู้รองรับสถานการณ์ เช่น การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ผ่านมา ยิ่งเห็นความไม่เท่าเทียมเกิดขึ้นในอนาคตโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น จะได้เตรียมความพร้อม ไม่ว่าในภาวะแบบไหนเด็กก็จะได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกัน” รศ.ดร.ดารณี กล่าว
รศ.ดร.ดารณี กล่าวต่อว่า รวมทั้งครูจะต้องเป็นครูของชุมชนที่มีการเรียนรู้ตลอดเวลา สถาบันการศึกษาต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการให้นักศึกษามีสมรรถนะออกแบบการเรียนรู้ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับบริบทพื้นที่ ชุมชน ทรัพยากร โดยต้องลงไปวิเคราะห์ศักยภาพ ครอบครัว ชุมชน ให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีบทบาทการจัดการเรียนรู้ ร่วมกัน ท่ามกลางความท้าทายหลายประการเราเชื่อมั่นว่าสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการนี้จะผลิตและพัฒนาครูหัวใจเดียวกันที่จะดึงศักยภาพให้นักศึกษาจบมาเป็นครูที่ดี มีความสร้างสรรค์ มุ่งมั่นของชุมชน
ด้าน ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณภาพครู นักศึกษาครูและสถานศึกษา กสศ. กล่าวว่า โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2563 โดยมีที่มาจากโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลซึ่งจำเป็นต้องคงอยู่เพื่อโอกาสทางการศึกษาเด็กท้องถิ่นไม่สามารถยุบควบรวมได้ จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาคุณภาพครูควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาครูโยกย้ายบ่อยจึงคิดวิธีให้คนในท้องถิ่นมาเรียนเป็นครูเพื่อกลับไปทำงานในบ้านเกิดตัวเอง ลดปัญหาการย้ายออกและขาดแคลนในอนาคต
ดร.อุดม กล่าวต่อว่า ซึ่งมี 3 องค์ประกอบที่สำคัญ คือ 1.การให้โอกาสเด็กยากจนในพื้นที่ห่างไกลได้เรียน รวม 5 รุ่น 1,500 คน เพื่อไปบรรจุเป็นครูใน 1,500 โรงเรียน 2.สถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการเพื่อผลิตครูให้เป็นบัณฑิตและนักพัฒนาชุมชนรวมไปถึงการพัฒนาหลักสูตรเพื่อเป็นต้นแบบพัฒนาครูต่อไป และ 3.โรงเรียนปลายทางซึ่งจะต้องร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพตามบริบบทของชุมชน
ทั้งนี้ จากการดำเนินการที่ผ่านมา 2 รุ่น มีนักศึกษาครูรัก(ษ์)ถิ่น 627 คน และ รุ่นที่ 3 จะได้เพิ่มขึ้นอีก 240 คน ดังนั้น การร่วมลงนามความร่วมมือกับ 7 สถาบันในครั้งนี้จึงมีความสำคัญมากที่จะนำไปสู่กระบวนการคัดเลือกที่เป็นต้นทางสำคัญ ปัจจุบันโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นเดินหน้ามาสู่รุ่นที่ 3 เปรียบเหมือนเดินทางมาถึงกลางทางของต้นน้ำ คือการคัดเลือกสถาบันคุณภาพมาร่วมโครงการ ดำเนินการคัดเลือกน้อง ๆ ที่มีใจอยากเป็นครูเข้ามาเรียนและจบไปบรรจุเป็นครูที่โรงเรียน
ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ที่ปรึกษากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า อยากเห็นการพูดคุยของผู้บริหารสถาบันการศึกษา เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์บ่อยๆ เพราะโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น เป็นโครงการระยะยาวประมาณ 11 ปี ต้องอาศัยความต่อเนื่องระดับนโยบายและความต่อเนื่องของข้อมูล นอกจากนี้ จากการทำงานของกสศ. โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น สามารถเชื่อมโยงข้อมูลและการทำงานของ กสศ. ในโครงการอื่น ๆ
เช่น โครงการ TSQP กว่า 700 โรงเรียน ครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี 700 โรงเรียน และ เครือข่ายอีก 11 ประเทศ อย่างไรก็ตาม ครูถือว่ามีความสำคัญในการศึกษาอย่างมากและนับเป็นตัวคูณที่สำคัญ เพราะครูคนหนึ่งสามารถสอนหนังสือเด็กได้หลายพันคน การเปลี่ยนแปลงจึงต้องเริ่มที่ครู นอกจากนี้ อยากเน้นย้ำว่าทุนที่ใช้ในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น เป็นเงินภาษีของประชาชน อยากให้ช่วยเน้นย้ำกับนักศึกษาที่ได้รับทุนว่าเงินทุกบากทุกสตางค์มาจากภาษีของประชาชน การใช้จ่ายต้องระมัดระวังและรู้คุณค่า
ขณะที่ ศาสตราจารย์ นพ.วิจารณ์ พานิช ที่ปรึกษากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับ 7 สถาบันการศึกษา ที่เข้าร่วมโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ซึ่งถือเป็นกระบวนการเปลี่ยนผ่านการผลิตครูสองชั้นทั้งผลิตครูในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นและครูทั่วไป โดยการผลิตครูนั้นไม่ใช่แค่การสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยเพียงแค่ 4 ปี แต่ต้องติดตามดูแลต่อเนื่องเมื่อเขาจบไปเป็นครูในพื้นที่ เพราะจากที่ศึกษามาพบว่า กว่าจะเป็นครูที่เชี่ยวชาญต้องใช้เวลา 5-7 ปี จึงต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งเมื่อผ่าน 5-7 ปี แล้วพวกเขาก็ยังต้องพัฒนาตัวเองต่อเนื่องไปไม่มีที่สิ้นสุด รวมทั้งจากที่หลายสถาบันดำเนินการมาก่อนหน้านี้มีประสบการณ์สอน การวัดผล และพบปัจจัยท้าทายมากมาย ตรงนี้น่าจะได้นำมาเป็นข้อมูลคิดหาทางปรับตัวในการผลิตครูต่อไป