วันนี้ (29 มี.คง. 64) ที่สำนักงานอัยการศาลจังหวัดเดชอุดม นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้าพบนายสุกฤษ เดชะทัดตานนท์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีนายปองพล วงษาชัย ชาวอำเภอบุณฑริก จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นตาของน้องหมวย อายุ 3 ขวบ ได้พาหลานไปรักษาที่คลีนิคเอกชนแห่งหนึ่งใน อ.บุณฑริก โดยผู้ที่ให้การรักษามีตำแหน่งเป็น ผอ.รพ.สต.ในพื้นที่ ได้ฉีดยาให้จนน้องหมวยเสียชีวิต จนถึงปัจจุบันคดียังไม่คืบหน้าและยังไม่เข้าสู่กระบวนการของศาล แถมถูกคู่กรณีฟ้องกลับจนต้องสู้คดีถึงศาลฏีกา กระทั่งศาลยกฟ้องทั้ง 3 ศาล รวมระยะเวลาเกือบ 9 ปี
สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2555 นายปองพล และ นางทองบาง วงษาชัย ภรรยา ได้พาหลานไปรักษาอาการไข้ ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแห่งหนึ่ง โดยมี ผู้อำนวยการของโรงพยาบาล มาแนะนำให้พาหลานไปรอรับการรักษาที่ คลินิกเอกชนซึ่งภรรยาของ ผอ.คนดังกล่าว เป็นผู้รับใบอนุญาตจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ก่อนที่ ผอ. จะตามมาตรวจ พร้อมทั้งแจ้งว่า หลานป่วยลำไส้อักเสบต้องฉีดยา 1 เข็ม ก่อนอนุญาตให้กลับบ้านได้
นายปองพล เล่าต่อว่า ระหว่างกลับบ้าน หลานมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก น้ำลายฟูมปาก ฉี่ราด คอพับ หมดสติ ตนจึงได้ขี่รถจักรยานยนต์ พาหลานกลับมาที่คลินิกภรรยาของ ผอ.คนดังกล่าวอีกครั้ง ก่อนจะนำส่งโรงพยาบาลบุณฑริก และเสียชีวิตก่อนที่จะถึงโรงพยาบาล ก่อนที่ ผอ. คนดังกล่าว จะนำร่างของหลานสาวมาส่งที่บ้าน โดยไม่มีการสอบถาม หรือเยียวยาครอบครัวแต่อย่างใด
หลังจากนั้นจึงได้เข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี (สสจ.อุบลฯ) ให้ตรวจสอบการรักษาว่าถูกต้องตามกระบวนการขั้นตอนหรือไม่ ซึ่ง สสจ.อุบลฯ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง จนพบว่า ผอ.คนดังกล่าว เป็นผู้บริหารสถานีอนามัย ไม่มีสิทธิ อำนาจหน้าที่ในการรักษาคนไข้ แต่กลับฉีดยาให้กับคนไข้จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต จากนั้น นายเสริม ไชยณรงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ในสมัยนั้น ได้มีคำสั่งจังหวัดอุบลราชธานี ที่ 4222/2557 ลงโทษ ผอ. คนดังกล่าว โดยให้ปลดออกจากราชการ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2557
ต่อมา ผอ.คนดังกล่าว ได้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดเดชอุดม เพื่อดำเนินคดีต่อตนและภรรยา ในข้อหา “เบิกความเท็จต่อเจ้าพนักงาน แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ” ซึ่งศาลจังหวัดเดชอุดม ได้พิจารณายกฟ้องเมื่อปี 2562 แต่คดีอาญาที่ตนเป็นผู้เสียหายนั้น ถูกส่งต่อไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ดำเนินการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งยังไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานแค่ไหน ไม่มีใครแจ้งความคืบหน้าให้ทราบเลย แต่คดีที่ผอ. ฟ้องตนและภรรยา กลับถูกดำเนินคดี จนศาลพิพากษายกฟ้องทั้ง 3 ศาลแล้ว จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อครอบครัวเป็นอย่างมาก ทั้งการเดินทางที่ต้องไปศาล แจ้งความดำเนินการขอความเป็นธรรม ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายไปไม่น้อย
ด้านนายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้รับการร้องเรียนว่าเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมาได้มี ผอ.รพ.สต.แห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี ฉีดยาให้น้องหมวยจนเสียชีวิต ซึ่งได้มีการฟ้องร้อง ผอ.และภรรยา ฐานประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ไม่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมปล่อยให้บุคลอื่นมาประกอบวิชาชีพเวชกรรม ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล แต่ทางในทางกลับกัน ตา ยาย ต้องกลับตกเป็นจำเลยของ ผอ.รพ.สต.ฐานให้การเท็จจนถึงปี 2562 ที่ต้องต่อสู้ในฐานะจำเลย ขณะที่หลานของตัวเองยังไม่ได้รับความเป็นธรรม ตนจึงได้ลงมาติดตามคดี พบว่าในเบื้องต้นทางตำรวจและพนักงานอัยการได้ทำสำนวนเป็น 2 สำนวน สำนวนแรกเป็นส่วนของ ผอ.รพ.สต.ที่ฉีดยา เรื่องนี้ถูกส่งให้ทางอัยการศาลทุจริตภาค 3 จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งยังไม่เห็นสำนวนแต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นน่าจะครบองค์ประกอบความผิดชัดเจน ส่วนของภรรยาทางอัยการจังหวัดเดชอุดมเป็นผู้รับดำเนินการ ส่วนประเด็นการที่สำนวนล่าช้ามาจากการที่นำสำนวน ทั้ง 2 สำนวนมารวมกันทำให้เกิดการล่าช้า