กรมส่งเสริมการเกษตรขอความร่วมมือเกษตรกรในพื้นที่ 28 จังหวัด งดปลูกข้าวนาปรังรอบที่ 2 เพื่อลดความเสียหายจากภัยแล้ง
อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง ระบุ ในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมาพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำของลุ่มน้ำเจ้าพระยาประสบปัญหาฝนตกน้อยกว่าปกติ ทำให้ประสบปัญหาภัยแล้งถึงแล้งจัด อ่างเก็บน้ำต่างๆ มีปริมาณน้ำคงเหลือน้อย ส่งผลกระทบต่อการปลูกพืชในช่วงฤดูแล้ง ทำให้ในหลายพื้นที่จะประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ปัจจุบันเกษตรกรเริ่มเก็บเกี่ยวบ้างแล้ว
หากมีการปลูกข้าวอีกครั้งเป็นรอบที่ 3 ของปี หรือนาปรังรอบที่ 2 จะทำให้เกิดความเสี่ยงสูงที่จะขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง เนื่องจากไม่มีน้ำต้นทุนเพียงพอ นอกจากนี้บริเวณพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา เกษตรกรไม่ควรให้นำน้ำมาใช้ในการปลูกข้าวโดยเด็ดขาด
เนื่องจากจะส่งผลเสียต่อระบบนิเวศน์จากภาวะน้ำเค็มรุกท้ายลุ่มเจ้าพระยา
และท้ายที่สุดต้นข้าวจะยืนต้นตายจากการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง
กรมฯจึงขอความร่วมมือเกษตรกรในพื้นที่ 28 จังหวัด ให้งดปลูกข้าวนาปรังรอบ 2 เด็ดขาด ประกอบด้วย พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา 14 จังหวัด ซึ่งเป็นพื้นที่เน้นหนักในการขอความร่วมมือให้งดปลูก คือ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย ชัยนาท นนทบุรี ปทุมธานี
พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง ฉะเชิงเทรา นครนายก นครปฐม สมุทรสาคร และสุพรรณบุรี
รวมทั้งพื้นที่ลุ่มน้ำอื่นๆอีก 14 จังหวัด คือ เชียงราย น่าน ลำพูน บึงกาฬ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี ราชบุรี ระยอง สระแก้ว ชุมพร และสุราษฎร์ธานี โดยเกษตรกรควรพักนาและไถกลบฟางข้าวเพื่อเป็นปุ๋ย หรือเลือกปลูกพืชใช้น้ำน้อยทดแทน
การปลูกข้าวในช่วงนี้จะทำให้เกษตรกรประสบปัญหาศัตรูพืชและโรคพืชเข้าทำลายได้
โดยศัตรูและโรคพืชที่สำคัญ มี 3 ชนิด คือ 1.โรคไหม้ข้าว มักพบในช่วงอากาศร้อนและแห้งแล้ง ปริมาณฝนน้อยและล่าช้า
2.เพลี้ยไฟ มักพบโดยทั่วไป โดยเฉพาะในอากาศร้อนแห้งแล้งหรือฝนทิ้งช่วงนานติดต่อกันหรือในสภาพนาข้าวที่ขาดน้ำ ซึ่งเป็นศัตรูข้าวที่ทำความเสียหายทั้งในพื้นที่ลุ่มและพื้นที่ดอน เพลี้ยไฟจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 20 วัน จึงทำความเสียหายให้กับนาข้าวเป็นบริเวณกว้างในช่วงเวลาสั้นๆ เนื่องจากสามารถขยายพันธุ์ได้จำนวนมากในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และ 3.เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล มักพบได้ในช่วงอากาศร้อนและแห้งแล้งเช่นกัน
การพักนาไม่ปลูกข้าวต่อเนื่องจะทำให้เกิดผลดีหลายด้าน คือ 1.ช่วยลดความเสี่ยงที่จะขาดทุน เนื่องจากพืชยืนต้นตาย 2.ช่วยลดปัญหาการขาดแคลนน้ำในภาพรวมของประเทศ 3.เป็นการพักดินเพื่อลดปัญหาการสะสมของโรคและแมลงศัตรูข้าว 4.ปลูกพืชปุ๋ยสดทดแทนจะช่วยปรับปรุงดินให้ดีขึ้น ช่วยลดต้นทุนการผลิตด้านการใช้ปุ๋ยในฤดูกาลผลิตถัดไปได้
กรณีที่มีแหล่งน้ำของตนเองหรือแหล่งน้ำอื่นๆ ที่ประเมินแล้วว่าเพียงพอต่อการปลูกพืชใช้น้ำน้อย เกษตรกรสามารถเลือกปลูกพืชที่มีตลาดรองรับในพื้นที่ได้ คือ 1.กลุ่มพืชไร่ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วเหลืองฝักสด และถั่วลิสง 2.กลุ่มพืชสมุนไพร เช่น อัญชัน ตะไคร้
3.กลุ่มไม้ดอกไม้ประดับ เช่น ดาวเรืองตัดดอก และอโกลนีมา และ 4) กลุ่มพืชผัก เช่น ตระกูลกะหล่ำ ตระกูลแตง ตระกูลถั่ว ตระกูลมะเขือ ผักกินใบ พืชหัว กระเจี๊ยบเขียว ข้าวโพดฝักสด และเห็ด โดยเกษตรกรสามารถรับคำปรึกษาได้ที่สำนักงานเกษตรจังหวัด
คลิปข่าว